ผิวติดสารเคมีจากการใช้ครีม ตัวการเกิด “ฝ้าสเตียรอยด์”
สำหรับสาว ๆ หรือผู้ที่รักในการดูแลตัวเองและชอบที่จะตามหาครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใหม่ ๆ หรือครีมที่จำหน่ายตามโซเชียล มีคำโฆษณาดึงดูดว่าเห็นผลลัพธ์รวดเร็วทันใจ ผิวหน้าเรียบเนียนไร้สิวในไม่กี่วัน หรือครีมที่ช่วยให้คุณมีผิวที่ขาวขึ้นง่าย ๆ ไม่มี ฝ้ากระ จุดด่างดํา มากวนใจโดยใช้เวลาไม่นาน มาเป็นคำกระตุ้นดึงดูดความสนใจจนต้องกดสั่งซื้อมาทดลอง โดยที่ไม่ได้ศึกษาให้ดีซะก่อนว่าครีมเหล่านั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร มีส่วนผสมอะไรบ้าง และได้รับมาตรฐานหรือไม่ หารู้ไม่ว่าคุณสมบัติของครีมเหล่านั้นคือส่วนหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ ตัวการร้ายก่อปัญหาผิวมากมายหลากหลายรูปแบบ หรือเรียกว่าทำให้ตกเข้าไปในข่ายของวงจร “หน้าติดสาร” ทั้ง ฝ้ากระ จุดด่างดํา ใบหน้าหมองคล้ำ ผิวหยาบกร้าน แห้งสาก ไปจนถึงปัญหาผิวที่สร้างความเสียหายกับผิวหน้าอย่าง สิวสเตียรอยด์ และ ฝ้าสเตียรอยด์ ที่ยากต่อการรักษาและอาจใช้เวลานานกว่า ฝ้าบนใบหน้า ที่เกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เนื่องจากสารสเตียรอยด์ได้เข้าไปทำลายจนถึงระดับเซลล์ผิวนั่นเอง แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวหน้าของเรากำลังมีแนวโน้มเป็น ฝ้าสเตียรอยด์ หรือไม่ มีวิธีสังเกตอย่างไร และควรจะป้องกันผิวอย่างไรไม่ให้เกิด ฝ้าสเตียรอยด์ ถ้าอย่างนั้นไปทำความรู้จักกับสารสเตียรอยด์ สภาพผิวที่ติดสารสเตียรอยด์ รวมถึงแนวทางในการรักษาและการปกป้องผิวหน้าไม่ให้เกิด ฝ้ากระ จุดด่าง จากสารตัวร้ายนี้กัน
“สารสเตียรอยด์” ตัวการที่ทำให้ผิวติดสารและเกิด ฝ้าบนใบหน้า คืออะไร?
“สารสเตียรอยด์” (steroid) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ โดยทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย ควบคุมสมดุลของน้ำและเกลือแร่ เช่น ช่วยต้านอาการอักเสบ ควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ กดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น และยังมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด กล้ามเนื้อ รวมถึงระบบกระดูก ช่วยปรับความเครียด ลดอาการปวด และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ นอกจากนั้นยังมีสเตียรอยด์สังเคราะห์ที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์ด้วยซึ่งเรียกว่า คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ซึ่งมีฤทธิ์และข้อบ่งใช้มากมาย ที่สามารถรักษาโรคหรือภาวะต่าง ๆได้หลากหลาย ถูกผลิตขึ้นจากบริษัทยา โดยเลียนแบบสเตียรอยด์ที่ร่างกายสร้างขึ้น เพื่อใช้ในการรักษาทางการแพทย์ ที่รักษาโรคได้ดีและรวดเร็ว แต่เนื่องจากเป็นเคมีสังเคราะห์จึงมีอันตรายมากกว่าและให้ผลข้างเคียงที่รุนแรง หากใช้ในปริมาณที่เกินพอดี ในปัจจุบันสเตียรอยด์ประเภทนี้ ถูกนำไปใช้ 2 แบบด้วยกันได้แก่
- ใช้เพื่อเน้นให้ออกฤทธิ์เฉพาะที่ เช่น ยาหยอดตา ยาพ่นจมูก ยาทาผิวหนัง และ ยาสูดพ่นทางปาก เป็นต้น
- ใช้เพื่อเน้นให้ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ในรูปแบบของยาฉีดและยารับประทาน โดยมีสรรพคุณเพื่อช่วยลดการอักเสบภายใน หรือกดภูมิคุ้ม เช่น ในผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคภูมิแพ้ตนเอง (SLE) ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจอักเสบเรื้อรัง และอาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง
กลไกการทำงานของ “สารสเตียรอยด์” ที่อยู่ในครีมบำรุงผิวจนทำให้หน้าติดสารกลายเป็น ฝ้าสเตียรอยด์
ตามกฎหมายแล้วได้กำหนดให้สารสเตียรอยด์ เป็นสารควบคุมพิเศษ ดังนั้นในการใช้สเตียรอยด์สังเคราะห์ทุกครั้ง ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และการสั่งจ่ายยาจากแพทย์เท่านั้น แต่เนื่องจากคุณสมบัติของสารสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์ที่ช่วยในการบรรเทาอาการอักเสบต่าง ๆ และยังมีฤทธิ์ในการกดภูมิคุ้มกัน มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างสารเคมีสื่อกลาง(mediators) เช่น โพรสตาแกรนดิน(prostaglandin) และลิวโคไตรอีน(leukotriene) ที่ใช้ในการการสร้างเม็ดสี (melanin) ทำให้ปริมาณเม็ดสีลดลงส่งผลให้ผิวขาวขึ้น ฝ้าบนในหน้า จางลง จึงมักถูกนำมาใช้รักษาอาการอักเสบและแพ้ต่าง ๆ เช่น สิว ฝ้ากระ จุดด่างดํา รูขุมขนอักเสบ หรือผื่นแพ้ต่าง ๆ ทำให้มีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางรายที่ขาดองค์ความรู้และมีกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้มีการยื่นจดทะเบียนหรือรับใบรับรองต่าง ๆ ตามกฎหมาย มักจะมีการลักลอบเติมแต่งสารนี้เข้าไปเพื่อผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน
การใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ในปริมาณเข้มข้นและติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลและรับคำแนะนำในการใช้จากแพทย์ อาจทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “หน้าติดสารสเตียรอยด์” หรือ “ผิวติดสาร” ได้ ซึ่งอาการและผลข้างเคียงมักเกิดขึ้นเมื่อมีการหยุดใช้ครีมหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนั้น ๆ โดยจะแสดงอาการที่พบได้บ่อยและสามารถนำไปใช้ในการสังเกตตัวเองกัน ได้แก่…
- เกิดตุ่มแดงลักษณะคล้ายสิวขึ้นบริเวณใบหน้าจำนวนมาก
- ผิวหนังแดงมากกว่าปกติ เกิดอาการอักเสบได้ง่าย
- ผิวบางและไวต่อแสงแดดมากขึ้น โดยอาจรู้สึกแสบผิวหน้าเมื่อสัมผัสกับแสงแดด แสงจากคอมพิวเตอร์หรือมือถือ นอกจากนั้นยังทำให้มลภาวะหรือสารพิษจากภายนอกซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นแท้ได้ง่ายขึ้น
- มีอาการแพ้ครีมหรือเครื่องสำอางต่าง ๆ ง่ายขึ้น และยังเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อของผิว
- สีผิวซีดลง เกิดเป็นด่างขาวบนผิว
- เกิดเป็น ฝ้าบนในหน้า ที่มีความหนาและลึกจนรักษาไม่หาย
“ฝ้าสเตียรอยด์” ปัญหาเรื่อง ฝ้าบนใบหน้า ที่เกิดจากผิวหน้าติดสารสเตียรอยด์
เนื่องจากสารสเตียรอยด์ มีคุณสมบัติที่ไปยับยั้งการสร้างเซลล์เม็ดสีเมลานิน ดังนั้นการใช้สารสเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นสูงติดต่อกันไปเป็นเวลานาน ในช่วงแรกผิวหน้าอาจจะยังไม่มีปัญหาให้สังเกตเห็นได้ แต่ไม่นานผิวหน้าเริ่มบางลง ผิวซีด เป็นด่างขาวถาวร และทำให้เกิด ฝ้าบนในหน้า เป็นเปื้อนดำ หนาแบบถาวรซึ่งยากต่อการรักษา โดยอาการของฝ้าที่แสดงออกขึ้นอยู่กับปริมาณของสารที่สะสมในผิวหนังและระยะเวลาในการใช้ครีมที่มีสารปนเปื้อนเป็นเวลานานด้วย โดยก่อนที่จะเกิด ฝ้าสเตียรอยด์ ผิวหนังที่เริ่มมีอาการแพ้สารสเตียรอยด์มักมีผื่นแดงหรือตุ่มเล็กเป็นวงกว้างบริเวณผิวหน้า ร่วมกับอาการรูขุมขนอักเสบ และเมื่ออาการเหล่านี้หายไป ก็จะเกิด ฝ้าสเตียรอยด์ และรอยดำขึ้นมาบนผิวหน้าแทนนั่นเอง
ทำอย่างไรเมื่อใบหน้าของคุณอาจเสี่ยงใบหน้าติดสารจนกลายเป็น ฝ้าสเตียรอยด์
หากเราลองสังเกตผิวหน้าและผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่แล้วพบว่ามีบางผลิตภัณฑ์ที่เสี่ยงต่อการมีสารสเตียรอยด์ผสมอยู่ ผิวเริ่มมีอาการติดสารสเตียรอยด์ในระยะเริ่มต้น หรือไม่แน่ใจว่าใบหน้าของเรากำลังเสี่ยงต่อการกลายเป็นผิวติดสารสเตียรอยด์หรือไม่ ให้ลองทำตามคำแนะนำเบื้องต้นดังต่อไปนี้
- หยุดใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ทันที หากใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวและไม่แน่ใจแนะนำให้หยุดใช้ของเดิมทุกชิ้นไปก่อน
- พักหน้า ด้วยการหยุดแต่งหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตัน และลดความเสี่ยงที่สารเคมีจากเครื่องสำอางจะซึมเข้าสู่ผิวชั้นล่างได้
- งดการขัดถูผิวแรง ๆ หลังจากทำความสะอาดผิวหน้า ให้ใช้สำลี ผ้า หรือทิชชูสะอาดซับหน้าเบา
- เลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อยๆ ห้ามบีบ แคะ แกะ เกา เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ทำความสะอาดผิวให้สะอาดและเปลี่ยนครีมบำรุงผิวใหม่ โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิวสูตรอ่อนโยน ซึ่งควรเป็นสูตรไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และผ่านการทดสอบทางการแพทย์แล้วว่าปลอดภัยสำหรับผิวบอบบาง และที่สำคัญจะต้องมีเลข อย. ได้รับใบรับรอง และมีแหล่งที่มาที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ว่าไม่มีส่วนผสมของสารสเตรียรอยด์และสารอื่น ๆ ที่ทำร้ายผิวได้
- เข้ารับการปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง เพื่อประเมินและรับการรักษาอย่างเหมาะสมกับปัญหาของ ฝ้าบนใบหน้า เพื่อจะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและตรงกับสาเหตุ ก็อาจจะช่วยเพิ่มโอกาสให้ ฝ้าสเตียรอยด์ สามารถรักษาให้จางลงได้และไม่เกิดผลแทรกซ้อนหรือสร้างปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา
สรุป
“หน้าขาวใส ไร้สิวไร้ ฝ้ากระ จุดด่างดํา” เป็นสิ่งที่คนรักผิวทุกคนต่างก็ปรารถนา แต่ถ้าหากเลือกใช้ครีมไม่เหมาะสมจนไปเจอเข้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างสารสเตียรอยด์ ก็อาจทำให้ผิวเกิดความเสียหายได้ และยิ่งปล่อยปละละเลยนาน ๆ ไปอาการติดสารสเตียรอยด์ก็จะรุนแรงมากขึ้น และลุกลามจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก จนต้องสูญเสียความมั่นใจไปในที่สุด ดังนั้นก่อนจะเลือกครีมบำรุงผิวจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจทุกครั้ง และสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าฝังลึก ฝ้าสเตียรอยด์ หรือฝ้าที่รักษามานานก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ที่ Chuladoctor Clinic มีโปรแกรม SMAPS เทคนิคการรักษาฝ้า ของ Chuladoctor Clinic ซึ่งทีมแพทย์ได้มุ่งมั่นและทำการคิดค้นการรักษาที่สามารถตอบโจทย์ปัญหาฝ้า ช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างเห็นผล และเพื่อผิวที่แข็งแรงและปลอดภัยในระยาว ให้คุณกลับมารู้สึกมั่นใจได้อีกครั้ง
บทความนี้เขียนโดย แพทย์หญิงธนิดา วรวิวัชร์ (หมอใบเฟิน) แพทย์ศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้ง Chuladoctor Clinic เแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย, การปรับรูปหน้าและเทคนิค SMAPS ขั้นสูง