ผิวบาง คืออะไร เกิดจากอะไร พร้อมวิธีรักษา
หากพูดถึงเรื่องของปัญหา ผิวบาง หลายคนอาจไม่เคยสังเกตมาก่อน หรืออาจไม่คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่อะไรมากมาย แต่แท้ที่จริงแล้ว ผิวบาง สามารถส่งผลกระทบต่าง ๆ กับสุขภาพผิวมากกว่าที่คิด และยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิด ฝ้า กระ จุดด่างดํา และยังอาจส่งผลต่อการเลือกวิธีในการรักษาฝ้า อีกด้วย แล้วเพราะอะไร ผิวบาง จึงกลายเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม ถ้าอย่างนั้นไปทำความเข้าใจเรื่องปัญหา ผิวบาง ให้มากขึ้นแบบรู้ลึกรู้จริงกัน
ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น ชั้นผิวบางลง พาไปรู้จักกับ “ผิวบาง” ที่เกิดขึ้นตามอายุ
เมื่อมนุษย์เกิดมาผิวหนังชั้นนอกสุดจะความหนาประมาณ 50-100 ไมโครเมตร จากนั้นผิวก็จะมีความบางลงจากไขมันในชั้นผิวที่ลดลงไปตามอายุหรือความเสื่อมสภาพตามวัยที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เมื่อตอนวัยทารก พอเราเริ่มโตและเข้าสู่วัยชั้นประถมผิวจะเริ่มบางลง พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นผิวก็จะบางลงไปตามลำดับ พออายุช่วงวัยทองผิวจะบางลงเร็วที่สุด และวัยชราอายุสักประมาณ 80 – 90 ปี ก็จะบางถึงขั้นสุด อาจจะสังเกตได้ว่าเมื่อเวลาเราล้มในตอนเด็ก ๆ นั้นอาจจะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บหรือเกิดบาดแผลได้ง่ายมากเท่าไร แต่เมื่อยิ่งอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงวัยชราพอเราล้มหรือมีการกระทบกระเทือนที่ผิวเราจะรู้สึกเจ็บง่ายขึ้นหรือเกิดบาดแผลลึกง่ายขึ้นนั่นเอง
กลไกหรือสาเหตุที่อาจทำให้เกิด ผิวบาง ก่อนวัย
รู้หรือไม่ว่าแม้ผิวของเราจะบางลงตามอายุแล้ว ผิวของเรายังมีการสูญเสียคอลลาเจนอีกปีละประมาณ 1% โดยในชั้นผิวคนเราจะประกอบไปด้วย คอลลาเจน อิลาสติน ไฟโบรเนกทิน อินทิกริน และ Extracellular matrix (ECM) ซึ่งเป็นโปรตีนในชั้นผิว เมื่อผิวเราเสียโปรตีนเหล่านี้ไปปีละ 1% ผิวเราจะยิ่งบางลงทุกปี ซึ่งการที่ผิวบางลงตามอายุนั้นเป็นอันตรายกับใบหน้าอย่างมากอยู่แล้ว พอเราเสียคอลลาเจนจากปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นความเครียด มลภาวะ อาหารการกิน การใช้ชีวิต ฯลฯ ไปอีก ก็จะยิ่งทำให้ผิวของเราเสี่ยงอันตรายจากภาวะ ผิวบาง มากขึ้น
ผลกระทบต่อผิวหรืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จาก ผิวบาง
เมื่อผิวของเราสูญเสียคอลจาเจนที่อยู่ในชั้นผิวหนังไปอย่างน้อยปีละ 1% จนทำให้ ผิวบาง ลงเรื่อย ๆ จะเกิดผลเสีย ดังต่อไปนี้
- ผิวของเราจะไวต่อแสง เวลาเราออกแดดเพียงครู่เดียวก็จะรู้สึกแสบหน้า เพราะว่าตัวแสงยูวีจะลงลึกมาถึงเมลาโนไซต์ชั้นล่างได้ง่าย
- พอรังสียูวีในแสงแดดสามารถเจาะทะลุไปถึงเมลาโนไซต์ด้านล่างได้ง่าย สิ่งที่ตามมาก็คือจะทำให้ผิวหนังของเราไปกระตุ้นการสร้างเมลานินได้ง่ายขึ้น ความหมายก็คือ ทำให้เกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
- เมื่อเกิดปัญหา ผิวบาง แล้วจะทำให้เรากลายเป็นคนผิวแพ้ง่าย ไม่ว่าจะโดนฝุ่นโดนลมก็จะระคายเคืองผิวได้ง่าย เป็นคนที่หน้าตาเกิดผื่นเกิดหมองคล้ำได้ง่าย
- ผิวจะมีความแห้งผากมากกว่าปกติ ไม่มีความชุ่มชื้น ผิวไม่เด้งหรือไม่ติดสปริง
- เมื่อผิวบางแล้วอาจจะทำให้ผิวมีริ้วรอยได้ง่ายขึ้น แลดูแก่กว่าวัย
- ผิวจะหย่อนคล้อยได้ง่าย ไม่กระชับ
สิ่งที่กระตุ้นให้ ผิวบาง เร็วขึ้น และควรหลีกเลี่ยง
- การผลัดเซลล์ผิวบ่อย ๆ ด้วยครีมหรือไวท์เทนนิ่ง เช่น ผลิตภัณฑ์ทำให้เกิดใบหน้าขาวใสบางประเภทซึ่งมักจะมีสารที่กระตุ้นให้ ผิวบาง เร็ว ไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์ วิตามินซีที่เข้มข้นเกินไป อาบูติน หรือแม้กระทั่งการใช้เรตินอลหรือวิตามินเอในความเข้มข้นที่สูงเกินไปก็กระตุ้นให้เกิด ผิวบาง เร็วกว่าปกติได้
- การทำเลเซอร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความร้อนสูง และมีการทำลายตัวเซลล์ผิวหนังชั้นบนออกเพื่อทำให้เกิดบาดแผล โดยหวังผลว่าเมื่อบาดแผลหายแล้วจะมีการซ่อมแซมผิวและได้ผิวใหม่ที่ดีกว่าผิวเดิม แต่อย่างไรก็ตามการทำเลเซอร์นั้นยังคงมีข้อควรระวังหลายจุด เช่น ในคนอายุเกิน 25 ปีขึ้นไป ผิวหนังไม่สามารถที่จะซ่อมแซมตัวเองได้ 100% หลังทำเลเซอร์แล้วในบางครั้งผิวของบางคนก็ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมมาปิดแผลของเลเซอร์ได้ 100% จึงทำให้เกิดความเปราะบางของผิวหนังตรงส่วนนั้นและกลายเป็นภาวะ ผิวบาง
- ใช้ครีมทาฝ้าบ่อย ๆ ในคนที่มีปัญหาฝ้ามักจะซื้อพวกครีมทาฝ้ามาใช้ซึ่งครีมทาฝ้าส่วนใหญ่จะเป็นสเตียรอยด์กับไฮโดรคริโนซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ ผิวบาง ก็จะเกิดปัญหาผิวแพ้ง่าย บางจนเห็นเส้นเลือด หรืออาจเป็นฝ้าสเตียรอยด์ตามมาได้ด้วย
- การกรอผิวหน้าบ่อย ๆ เช่น ใช้เครื่องมือกรอผิว หรือว่าใช้อัญมณีกรอผิวหน้าออกอย่างการรักษาหลุมสิวบางประเภทที่ใช้การกรอผิวด้านบนออกเพื่อให้ผิวมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอเท่ากันก็ทำให้เกิด ผิวบาง ลงได้เช่นกัน
- การลอกผิวที่ทำให้หน้าใส หรือสารที่ช่วยในการลอกผิวหน้าออก พอลอกหน้าบ่อย ๆ ก็จะทำให้ ผิวบาง ได้
- ผิวจะหย่อนคล้อยได้ง่าย ไม่กระชับ
การรักษาฝ้ากับปัญหา ผิวบาง
ปัจจุบันต้องยอมรับว่าวิธีการ รักษาฝ้า ส่วนใหญ่ล้วนทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ ผิวบาง ได้ เช่น การทำเลเซอร์ การทำ peeling ลอกหน้า การกรอผิว การใช้ครีมไวท์เทนนิ่งต่าง ๆ ที่แต้มไปบนตัว ฝ้าบนใบหน้า โดยตรง พอใช้เป็นระยะเวลานานติดต่อกันหลายเดือนก็อาจจะทำให้เกิดอาการ ผิวบาง ได้
แล้วจะรักษาฝ้าอย่างไรไม่เสี่ยงทำให้ ผิวบาง ลง
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง ฝ้า กระ จุดด่างดำ และไม่อยากเสี่ยงต่อภาวะผิวบอบบางแพ้ง่ายเมื่อรักษาฝ้า หรือผู้ที่มีปัญหา ผิวบาง เป็นทุนเดิมอยู่แล้วและต้องการรักษาฝ้า เทคนิค SMAPS เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ทาง Chuladoctor Anti-Aging Center คิดค้นขึ้นมาเพื่อการรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำให้ ผิวบาง และยังช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหน้าแข็งแรงมากขึ้นจากภายในสู่ภายนอก ไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังทำให้ ฝ้าบนใบหน้า แลดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ และเห็นผลอย่างยั่งยืนในระยะยาว ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือทำให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมา
สรุป
แม้ว่า ผิวบาง จะไม่ใช่ปัญหาผิวที่สามารถมองเห็นหรือสังเกตได้อย่างชัดเจนเหมือนกับปัญหาผิวอื่น ๆ แต่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ไม่ควรละเลยเพราะอาจนำมาซึ่งอันตรายต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผิวของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องการรักษาฝ้า ดังนั้นการให้แพทย์ชำนาญการเป็นผู้วินิจฉัย อย่างทีมแพทย์ของ Chuladoctor ซึ่งเป็น คลินิกรักษาฝ้า รัชดา เดินทางสะดวกสบาย เหมาะกับการรักษาอย่างต่อเนื่องและการดูแลอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยให้รู้เท่าทันสภาพผิวของคุณและได้รับการรักษาฝ้าอย่างเหมาะสมกับปัญหาผิว เพื่อมอบผลลัพธ์การรักษาที่น่าพึงพอใจ ผิวแข็งแรงและไม่ทำให้ฝ้าเป็นซ้ำอีกนั่นเอง
บทความนี้เขียนโดย แพทย์หญิงธนิดา วรวิวัชร์ (หมอใบเฟิน) แพทย์ศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้ง Chuladoctor Clinic เแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย, การปรับรูปหน้าและเทคนิค SMAPS ขั้นสูง