ฝ้าความร้อน ปัญหาผิวที่สาว ๆ เมืองร้อนเลี่ยงยาก
อย่างที่เราทราบกันดีสาว ๆ เมืองร้อนอย่างประเทศไทยเรานั้นมักจะมีปัญหาเรื่อง ฝ้า กระ จุดด่างดํา ไปจนถึงผิวคล้ำเสียสะสมจากการถูกทำร้ายจากรังสีต่าง ๆ ที่ทำลายชั้นผิวและกระตุ้นให้เกิดปัญหาผิวตามมาอย่าง รังสียูวีในแสงแดด แสงสีฟ้าจากหน้าจอ และอีกปัจจัยหนึ่งที่หลายอาจคาดไม่ถึงว่ามีส่วนทำให้เกิด ฝ้าบนใบหน้า ได้เช่นกันนั่นก็คือ “ความร้อน” รวมถึงควันร้อนและไอร้อนที่มีอุณหภูมิสูง ๆ ที่อาจมากระทบกับผิวหน้าของเราเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัวหรือหาทางหลบเลี่ยงได้ยาก
ด้วยสภาพอากาศโดยส่วนใหญ่ของเมืองไทยนั้นมักจะมีความร้อนแฝงอยู่ตลอดแทบจะทุกฤดูกาลตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี และยังแอบแฝงในสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราอีกด้วย จึงเป็นเรื่องยากในการจะหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิด ฝ้าความร้อน ได้ ถ้าอยากรู้ว่าเพราะความร้อนจึงทำให้เกิด ฝ้าความร้อน แล้วเราจะดูแลหรือปกป้องผิวหน้าจาก ฝ้าความร้อน ได้ด้วยวิธีใดบ้าง ตามไปดูข้อมูลดี ๆ กัน
“ความร้อน” ทำให้เกิด “ฝ้าความร้อน” บนผิวหน้าของคุณได้
นอกเหนือจากรังสียูวีแล้ว พลังงานของ “ความร้อน” ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิด ฝ้าบนใบหน้า ได้เช่นกัน ดังนั้นควันหรือไอร้อนจากแหล่งกำเนิดต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวหน้าของคุณจะต้องเจอและโดนความร้อนเหล่านั้นเป็นระยะเวลานาน ๆ ต่อเนื่องและสะสมมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น…
- ความร้อนจากแสงแดด (แม้จะไม่ได้โดนกับแสงแดดตรง ๆ แต่ผิวหน้ายังได้รับไอร้อนจากแดด)
- ควันร้อนจากการเข้าครัวทำอาหารอยู่หรือการต้องอยู่หน้าเตาร้อน ๆ บ่อย ๆ
- ไอน้ำเวลารีดผ้า
- ความร้อนจากการอบไอน้ำทำผม
- ความร้อนจากการอบซาวน่า
นอกจากนี้สำหรับใครที่เป็น ฝ้า กระ จุดด่างดํา อยู่ก่อนหน้าแล้ว ความร้อนเหล่านี้ก็อาจไปกระตุ้นทำให้ฝ้าที่มีอยู่เดิมสีเข้มขึ้น ฝังลึกหรือชัดเจนขึ้น และอาจทำให้ ฝ้า กระ จุดด่างดํา นั้นรักษาได้ยากขึ้นหรือต้องใช้เวลานานขึ้นด้วยนั่นเอง
แล้วเราจะปกป้องผิวหน้าจาก ฝ้าความร้อน ที่เลี่ยงได้ยากได้อย่างไร?
แม้เราจะเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการเกิด ฝ้าความร้อน ไม่ได้ง่ายนักเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เราอาศัยอยู่รายล้อมไปด้วยความร้อนและควัน รวมถึงมลพิษต่าง ๆ แต่หากเราดูแลและปกป้องผิวหน้าอย่างและสม่ำเสมอเป็นประจำก็จะช่วยชะลอการเกิด ฝ้าความร้อน หรือช่วยลดความรุนแรงของปัญหา ฝ้าบนใบหน้า และปัญหา ฝ้ากระ จุดด่างดํา อื่น ๆ ลง ด้วยเคล็ดลับดังต่อไปนี้
- อยู่ให้ห่างจากความร้อนทุกชนิด หรือหลีกเลี่ยงให้อยู่กับความร้อนน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อยู่กับความร้อนชนิดต่าง ๆ เป็นเวลานานเกินไป หรือบ่อยเกินไป
- หากจำเป็นต้องทำอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น เมนูที่ต้องใช้เวลาในการต้มหรือเคี่ยว อาจจะคอยมาดูเรื่อย ๆ แทน ไม่ควรยืนอยู่หน้าเตาติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือสวมหน้ากากกันความร้อน
- หลังจากเผชิญกับความร้อนจากกิจกรรมหรือสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วควรรีบปลอบประโลมผิวเพื่อลดอุณหภูมิลงด้วยการใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นพอประมาณแล้วโปะให้ทั่วใบหน้า หรือใช้เจลว่านหางจระเข้เพื่อลดโอกาสผิวไหม้
- การทาครีมกันแดด ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการปกป้องผิวจาก ฝ้า กระ จุดด่างดํา แม้จะไม่ได้ออกแดดก็ตาม โดยเลือกครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 50 ขึ้นไปเพื่อป้องกันรังสี UVB และควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA++ ขึ้นไปเพื่อป้องกันผิวจากความหมองคล้ำจากรังสี UVA ซึ่งควรทาอย่างน้อย 15-30 นาทีก่อนออกแดด ส่วนปริมาณที่ควรทาบริเวณใบหน้าคือ 2 ข้อนิ้วพูนๆ ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงหากออกแดดจัด หรือต้องเจอกับความร้อนนาน ๆ
- บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอทุกวันด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและปัญหาผิว และต้องมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานและได้รับการรับรองหรือได้รับการคิดค้นสูตรโดยแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญเรื่อง ฝ้า กระ จุดด่างดํา เพื่อจะได้ผลลัพธ์ที่ดี สามารถปกป้องผิวจากปัจจัยเสี่ยงได้ และไม่เพิ่มปัญหาให้กับผิวในภายหลังนั่นเอง
วิธีรักษา ฝ้าความร้อน ที่เหมาะกับทุกสภาพผิวและไม่ทำลายชั้นผิวให้บอบบางลงและอ่อนแอลง
หลายคนที่มีปัญหาเรื่องฝ้า และกำลังมองหา คลินิกรักษาฝ้า อาจเคยได้ยินมาว่าการรักษา ฝ้าบนใบหน้า ที่ค่อนข้างได้ผลลัพธ์ที่ดีและรวดเร็วคือการเลเซอร์ เป็นการใช้พลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ ยิงไปที่เซลล์เป้าหมายที่ผิวหนังมีปัญหา เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดํา เพื่อทำให้เม็ดสีเมลานินที่ผลิตออกมากจำนวนมากถูกทำลายและมีจำนวนที่ลดลง แต่ก็อาจแลกมาด้วยชั้นผิวที่บางลงหรือทำให้ผิวอ่อนแอลง อาจเสี่ยงฝ้ากลับมาหากดูแลผิวได้ไม่ดีเพียงพอ และอาจเสี่ยงต่อการตามมาด้วยปัญหาผิวอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีสภาพผิวแพ้ง่าย บอบบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นการเลเซอร์อาจไม่เหมาะสำหรับผิวของทุกคนเสมอไป
แล้วทำอย่างไรหากกำลังเจอกับปัญหาฝ้าไม่รู้จบ รักษามานานแล้วยังไม่หาย สามารถมาขอรับคำแนะนำกับทีมแพทย์ Chuladoctor คลินิกรักษาฝ้า กรุงเทพ ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง มีความชำนาญเรื่องการรักษาฝ้าและปัญหาผิวที่สะสมเรื้อรัง โดยเรามี โปรแกรม SMAPS เทคนิคการรักษาฝ้าขั้นสูง สิทธิบัตรเฉพาะของ Chuladoctor Clinic พัฒนาและคิดค้นมาเพื่อเป็นทางออกของผู้ที่มีปัญหา ฝ้าความร้อน และไม่อยากเสี่ยงให้ผิวยิ่งบางลง
สิ่งที่กระตุ้นให้ ผิวบาง เร็วขึ้น และควรหลีกเลี่ยง
- การผลัดเซลล์ผิวบ่อย ๆ ด้วยครีมหรือไวท์เทนนิ่ง เช่น ผลิตภัณฑ์ทำให้เกิดใบหน้าขาวใสบางประเภทซึ่งมักจะมีสารที่กระตุ้นให้ ผิวบาง เร็ว ไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์ วิตามินซีที่เข้มข้นเกินไป อาบูติน หรือแม้กระทั่งการใช้เรตินอลหรือวิตามินเอในความเข้มข้นที่สูงเกินไปก็กระตุ้นให้เกิด ผิวบาง เร็วกว่าปกติได้
- การทำเลเซอร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นหัตถการที่ต้องใช้ความร้อนสูง และมีการทำลายตัวเซลล์ผิวหนังชั้นบนออกเพื่อทำให้เกิดบาดแผล โดยหวังผลว่าเมื่อบาดแผลหายแล้วจะมีการซ่อมแซมผิวและได้ผิวใหม่ที่ดีกว่าผิวเดิม แต่อย่างไรก็ตามการทำเลเซอร์นั้นยังคงมีข้อควรระวังหลายจุด เช่น ในคนอายุเกิน 25 ปีขึ้นไป ผิวหนังไม่สามารถที่จะซ่อมแซมตัวเองได้ 100% หลังทำเลเซอร์แล้วในบางครั้งผิวของบางคนก็ไม่สามารถที่จะซ่อมแซมมาปิดแผลของเลเซอร์ได้ 100% จึงทำให้เกิดความเปราะบางของผิวหนังตรงส่วนนั้นและกลายเป็นภาวะ ผิวบาง
- ใช้ครีมทาฝ้าบ่อย ๆ ในคนที่มีปัญหาฝ้ามักจะซื้อพวกครีมทาฝ้ามาใช้ซึ่งครีมทาฝ้าส่วนใหญ่จะเป็นสเตียรอยด์กับไฮโดรคริโนซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้ ผิวบาง ก็จะเกิดปัญหาผิวแพ้ง่าย บางจนเห็นเส้นเลือด หรืออาจเป็นฝ้าสเตียรอยด์ตามมาได้ด้วย
- การกรอผิวหน้าบ่อย ๆ เช่น ใช้เครื่องมือกรอผิว หรือว่าใช้อัญมณีกรอผิวหน้าออกอย่างการรักษาหลุมสิวบางประเภทที่ใช้การกรอผิวด้านบนออกเพื่อให้ผิวมีความเรียบเนียนสม่ำเสมอเท่ากันก็ทำให้เกิด ผิวบาง ลงได้เช่นกัน
- การลอกผิวที่ทำให้หน้าใส หรือสารที่ช่วยในการลอกผิวหน้าออก พอลอกหน้าบ่อย ๆ ก็จะทำให้ ผิวบาง ได้
- ผิวจะหย่อนคล้อยได้ง่าย ไม่กระชับ
สรุป
ฝ้าความร้อน เป็นอีกปัญหาผิวที่หลายคนอาจกำลังเป็นอยู่แต่ไม่รู้ตัว เนื่องจากฝ้าสามารถเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุและมีหลายประเภท การให้แพทย์ชำนาญการเป็นผู้วินิจฉัยก็จะช่วยให้คุณค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดฝ้าที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และดำเนินการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับสภาพผิว เพื่อมอบผลลัพธ์การรักษษที่น่าพึงพอใจและไม่ทำให้ฝ้ากลับมาทักทายใบหน้าของคุณซ้ำอีกนั่นเอง
บทความนี้เขียนโดย แพทย์หญิงธนิดา วรวิวัชร์ (หมอใบเฟิน) แพทย์ศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ก่อตั้ง Chuladoctor Clinic เแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย, การปรับรูปหน้าและเทคนิค SMAPS ขั้นสูง